วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ข้อดี หรือ ประโยชน์ ของ GMOs (Advantages of GMOs)


มะเขือเทศ GMOs
ประโยชน์ทางด้านการเกษตร
- ทำให้เกิดพืชที่ให้ผลผลิตมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ผลมีขนาดใหญ่ขึ้น (เช่น มะเขือเทศมีผลขนาดใหญ่ขึ้น), ผลมีปริมาณมากขึ้น (เช่น ปริมาณเมล็ดข้าวต่อต้นมากขึ้น), ผลมีน้ำหนักมากขึ้น (เช่น มะละกอที่มีน้ำหนักมากกว่ามะละกอปกติทั่วไป)
- ทำให้เกิดพืชที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม โดย ทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกหรือเจริญเติบโตของพืช ตัวอย่างเช่น พืชที่ทนแล้ง (เช่น ข้าวทนแล้ง), พืชที่ทนต่อดินเค็ม (เช่น ข้าวทนดินเค็ม), พืชที่ทนต่อดินเปรี้ยว เป็นต้น
- ทำให้เกิดพืชที่ทนต่อศัตรูพืช เช่น พืชที่ทนต่อเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคพืช พืชที่ทนต่อเชื้อราที่ก่อให้เกิดโรคพืช พืชที่ทนต่อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคพืช ทนต่อแมลงศัตรูพืช หรือแม้แต่ทนต่อยาฆ่าแมลง และทนต่อยาปราบวัชพืช
- เมื่อทำให้พืชลดการใช้สารเคมี พิษจากสารเคมีที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อเกษตรกรก็ลดลง
- ทำให้เกิดพืชที่มีผลผลิตที่สามารถเก็บรักษาเป็นเวลานาน และอยู่ได้นาน ทำให้ขั้นตอนในการขนส่งสามารถขนส่งในระยะไกลโดยไม่เน่าหรือเสีย เช่น มะเขือเทศที่ถูกทำให้สุกช้า หรือถึงแม้จะสุกแต่ก็ไม่งอม เนื้อยังแข็งและกรอบ ไม่เละเมื่อไปถึงมือผู้บริโภค
ประโยชน์ต่อผู้บริโภค
- ทำให้เกิด พืช ผัก ผลไม้ มีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มมากขึ้น เช่น ทำให้มะเขือเทศมีวิตามินอีมากขึ้น ทำให้ส้มหรือมะนาวที่มีวิตามินซีเพิ่มมากขึ้น ทำให้กล้วยมีวิตามินเอเพิ่มขึ้น เป็นต้น
- ทำให้ลดการขาดแคลนอาหารได้ เนื่องจากการปรับปรุงพันธุ์ให้มีผลผลิตและความต้านทานต่างๆมากขึ้น ทำให้มีผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้น ตอบสนองต่อความต้องอาหารที่เพิ่มมากขึ้น
ประโยชน์ด้านการพาณิชย์
- ลดขั้นตอนและระยะเวลาของการผสมพันธุ์พืช ซึ่งหากช่วงชีวิตของพืชที่ต้องการปรับปรุงพันธุ์ด้วยวิธีเดิมยาวนานกว่าจะได้ผล และต้องทำการคัดเลือกพันธุ์อยู่หลายครั้ง การทำ GMOsทำให้ขั้นตอนนี้เร็วและแม่นยำยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก
- ทำให้เกิดพืชพันธุ์ใหม่ๆ ที่มีประโยชน์ในการพาณิชย์ เช่น ดอกไม้หรือพวกไม้ประดับที่มีรูปร่างแปลกกว่าเดิม มีขนาดใหญ่กว่าเดิม สีสันแปลกไปจากเดิม (เช่น กุหลาบสีน้ำเงิน) หรือมีความคงทนกว่าเดิม
ประโยชน์ต่อด้านการอุตสาหกรรม
- หากทำพืช GMOs ให้สามารถลดการใช้สารเคมี และช่วยให้มีผลผลิตมากขึ้นกว่าเดิม  ทำให้ต้นทุนการผลิตลดต่ำลงและเวลาที่ใช้ก็ลดลงด้วย วัตถุดิบที่ได้มาจากภาคการเกษตร เช่น ซังข้าวโพด แกลบ กากถั่วเหลือง อาหารสัตว์ จึงมีราคาถูกลง
- มี GMOs หลายชนิดที่ไม่ใช่พืช ที่ใช้กันอยู่ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น เอนไซม์ที่ใช้ในการผลิตน้ำผักผลไม้ หรือ เอนไซม์ ไคโมซิน (Chymosin) ที่ใช้ในการผลิตเนยแข็งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จาก GMOs และทำมาเป็นเวลานานแล้ว ทำให้ลดทั้งต้นทุนการผลิตและเวลาที่ต้องใช้ลง
ประโยชน์ต่อด้านการแพทย์
- การผลิตวัคซีน หรือยาชนิดต่างๆ ในอุตสาหกรรมยาปัจจุบันนี้ล้วนแล้วแต่ใช้ GMOs ช่วยแทบทั้งสิ้น อีกไม่นานนี้ เราอาจมีน้ำนมวัวที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนหรือตัวยาที่จำเป็นต่อมนุษย์
- ช่วยลดการขาดแคลนยาหรือวัคซีนได้มากขึ้น เพราะ GMOs สามารถช่วยเพิ่มการผลิตสิ่งเหล่านี้ให้เพิ่มขึ้นได้
ประโยชน์ต่อด้านสิ่งแวดล้อม
- หากทำพืช GMOs ให้สามารถป้องกันศัตรูพืชได้เอง จำนวนการใช้สารเคมีชนิดต่างๆเพื่อการปราบศัตรูพืชก็จะลดน้อยลงจนอาจถึงไม่ต้องใช้เลยก็ได้ ทำให้มลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากสารเคมีลดลง
- ก่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพมากขึ้น เนื่องจากยีนที่มีการแสดงออกที่มีประโยชน์ถูกเลือกให้รับโอกาสในการแสดงออกในสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดมากขึ้น

แหล่งที่มา : http://www.thaibiotech.info/advantages-of-gmos.php

ข้อเสีย หรือ ผลเสีย ของ GMOs (Disadvantages of GMOs)


พืช GMOs
ปัญหาด้านของความเสี่ยงต่อผู้บริโภค
- ปัญหาเรื่อง อาจมีสิ่งอื่นเจือปนที่ทำให้เกิดอันตรายจากสารอาหารที่ได้จากจีเอ็มโอ(GMOs) ได้ เช่น เคยมีข่าวว่า คนในสหรัฐอเมริกาเกิดการล้มป่วยและเสียชีวิตเกิดขึ้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากการบริโภค กรดอะมิโน L-Tryptophan ซึ่งเป็นสารอาหารที่ได้จากจีเอ็มโอ(GMOs)โดยเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท Showa Denko แต่ความจริงแล้วจีเอ็มโอ(GMOs) ไม่ได้เป็นสาเหตุของอันตราย แต่เกิดจากความผิดพลาดในกระบวนการหลังการทำให้บริสุทธิ์ของผลิตภัณฑ์ โดยในขั้นของการควบคุมคุณภาพ (Quality Control) มีความบกพร่องจนมีสิ่งเจือปนที่ไม่ต้องการเหลืออยู่

- ปัญหาเรื่อง จีเอ็มโอ(GMOs)อาจเป็นพาหะของสารที่เป็นอันตรายได้ อย่างในการทดลองของ Dr.Pusztai ได้ทำการทดลองให้หนูกินมันฝรั่งดิบที่มีสารเลคติน(lectin)เจือปนอยู่ แล้วผลออกมาว่าหนูมีภูมิคุ้มกันลดลง รวมถึงลำไส้ของหนูมีลักษณะบวมอย่างผิดปกติ นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากวิจารณ์การทดลองนี้ว่า มีความบกพร่องในการออกแบบการทดลองรวมถึงในวิธีการทดลอง ซึ่งเชื่อว่าต่อไปจะมีการทดลองที่รัดกุมมากขึ้น และมีคนกังวลว่าดีเอ็นเอ (DNA) จากไวรัสที่ใช้ในการทำจีเอ็มโอ(GMOs) อาจเป็นอันตรายได้
- ปัญหาเรื่อง อาจมีสารบางอย่างจากจีเอ็มโอ(GMOs) มีไม่เท่ากับปริมาณสารปกติในธรรมชาติ (สารที่ไม่ได้เกิดจากการตัดต่อพันธุกรรมแล้วใส่ยีน(gene)ที่จะผลิตสารนั้นโดยตรงลงไป) อย่างมีรายงานว่าถั่วเหลืองที่เกิดจากการตัดต่อพันธุกรรมมีสาร isoflavone {เป็นสารจำพวก phytoestrogen [ซึ่งคล้ายสารจำพวกฮอร์โมนเอสโตรเจน(estrogen)ในคน]} มากกว่าถั่วเหลืองในธรรมชาติเล็กน้อย ซึ่งยังไม่แน่ใจว่า การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน estrogen อาจทำให้เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค จีเอ็มโอ(GMOs) หรือเปล่า โดยเฉพาะในเด็กทารก
- ปัญหาเรื่อง อาจการเกิดสารภูมิแพ้(allergen)ซึ่งอาจได้มาจากสิ่งมีชีวิตที่เป็นแหล่งเดิมของยีน(gene)ที่นำมาใช้ทำจีเอ็มโอ(GMOs)นั้น อย่างการใช้ยีน(gene)จากถั่ว Brazil nut มาทำจีเอ็มโอ(GMOs)เพื่อเพิ่มคุณค่าของโปรตีนในถั่วเหลืองให้มากขึ้นสำหรับเป็นอาหารสัตว์ ก่อนที่จะออกจำหน่ายพบว่าจีเอ็มโอ(GMOs)ที่เป็นถั่วเหลืองชนิดนี้อาจทำให้คนกลุ่มหนึ่งเกิดอาการแพ้ได้ เนื่องจากได้รับโปรตีนที่เป็นสารภูมิแพ้จากถั่ว Brazil nut ทางบริษัทจึงได้ระงับการพัฒนาและการจำหน่ายจีเอ็มโอ(GMOs)ชนิดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นพืชจีเอ็มโอ(GMOs)ชนิดอื่นๆ ที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วโลกในขณะนี้ อย่างพวก ถั่วเหลืองและข้าวโพดนั้น ได้มีการประเมินแล้วว่า มีอัตราความเสี่ยงไม่แตกต่างจากถั่วเหลืองและข้าวโพดที่ปลูกอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ
- ปัญหาเรื่อง ความปลอดภัยต่อผู้บริโภคในการตัดต่อพันธุกรรมในสัตว์ อย่างใน วัว หมู ไก่ รวมถึงสัตว์ชนิดอื่นที่จะได้รับ recombinant growth hormone ทำให้อาจมีคุณภาพที่ไม่เหมือนจากในธรรมชาติ และอาจมีสารตกค้าง โดยไม่มีข้อยืนยันชัดเจนในเรื่องนี้ ซึ่งในระบบสรีระวิทยาของสัตว์นั้นมีความซับซ้อนมากกว่าทั้งของในพืชและจุลินทรีย์ อาจมีผลกระทบอื่นๆ ที่ไม่คาดคิดได้จากการตัดต่อพันธุกรรมในสัตว์ ซึ่งอาจมีสารพิษอื่นๆที่ไม่ต้องการตกค้างได้ ทำให้ในการตัดต่อพันธุกรรมในสัตว์ที่เป็นอาหารโดยตรง ต้องมีการพิจารณาของขั้นตอนในการประเมินในด้านความปลอดภัยที่ครอบคลุมมากกว่าการตัดต่อพันธุกรรมในจุลินทรีย์และพืช
- ปัญหาเรื่อง การดื้อยาในการทำจีเอ็มโอ(GMOs)จะใช้ selectable marker ที่มักเป็นยีน(gene)ที่สร้างสารต้านยาปฏิชีวนะ (antibiotic resistance) ในจีเอ็มโอ(GMOs)อาจมีสารต้านยาปฏิชีวนะอยู่ ซึ่งถ้าผู้บริโภคจีเอ็มโอ(GMOs)กำลังอยู่ระหว่างการใช้ยาปฏิชีวนะ อาจทำให้การรักษาไม่ได้ผล โดยเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์บอกว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นมีน้อยและสามารถหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขได้ และถ้าหากเชื้อจุลินทรีย์ที่มีตามปกติในร่างกายเกิดได้รับ marker gene เข้าไปในส่วนดีเอ็นเอ(DNA)ของมัน อาจทำให้เกิดจุลินทรีย์สายพันธุ์ใหม่ที่อาจดื้อยาปฏิชีวนะได้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บอกว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก แต่ในตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ได้คิดหาวิธีใหม่ที่ไม่ต้องใช้ selectable marker ที่เป็นสารต้านยาปฏิชีวนะ หรือนำยีน(gene)ในส่วนที่สร้างสารต้านปฏิชีวนะออกไปก่อนเป็นจีเอ็มโอ(GMOs)เป็นผลิตภัณฑ์เต็มตัว
- ปัญหาเรื่อง อาจมีส่วนของยีน(gene)จำพวก 35S promoter และ NOS terminator ที่อาจมีอยู่ในเซลล์ของจีเอ็มโอ(GMOs)ซึ่งอาจจะไม่ถูกย่อยในส่วนของกระเพาะอาหารและส่วนของลำไส้ แล้วเข้าสู่เซลล์ปกติของคนที่รับประทานจีเอ็มโอ(GMOs)เข้าไป แล้วอาจทำให้มีการ active ของสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น มีผลอาจทำให้ยีน(gene)ของคนที่รับประทานเข้าไปเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แต่จากผลการทดลองที่ผ่านๆมาได้มีการยืนยันว่า มีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก
- ปัญหาเรื่อง บางสิ่งเล็กน้อยที่ต้องระวัง เช่น เด็กทารกซึ่งอาจย่อยดีเอ็นเอ(DNA)ในอาหารได้ไม่สมบูรณ์หากเทียบกับผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กทารกมีระบบทางเดินอาหารที่สั้นกว่าของผู้ใหญ่ แต่อาจทำให้เกิดอันตรายค่อนข้างต่ำ แต่ก็ต้องทำการศึกษาวิจัยต่อไป
ปัญหาด้านของความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม
- ปัญหาเรื่อง สารพิษบางชนิดที่ใช้ปราบแมลงศัตรูพืช อาจกระทบถึงแมลงและสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆที่มีประโยชน์ต่อพืช เช่น Bt toxin ที่มักใส่ในจีเอ็มโอ(GMOs) อย่างผลการทดลองของ Losey มหาวิทยาลัย Cornell ได้ศึกษาผลกระทบของสารฆ่าแมลงของเชื้อ Bacillus thuringiensis (บีที) ในข้าวโพดตัดต่อพันธุกรรมที่มีต่อผีเสื้อ Monarch ในการทดลองนี้ทำในสถานที่ทดลองภายใต้สภาวะเงื่อนไขที่ Stress โดยให้ผลเพียงในขั้นต้นเท่านั้น ซึ่งต้องมีการทดลองในภาคสนามอีกเพื่อให้ได้ผลที่มีนัยสำคัญ ก่อนที่จะมีการสรุปผลและมีการนำไปขยายความต่อไป
- ปัญหาในเรื่อง การนำจีเอ็มโอ(GMOs)ออกสู่สิ่งแวดล้อมทั่วไป โดยอาจมีผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งอาจทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ที่มีลักษณะเด่นเหนือกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมในธรรมชาติมากจนกลืนสายพันธุ์ดั้งเดิมในธรรมชาติให้หายไปหรือสูญพันธุ์ไป หรืออาจเกิดลักษณะเด่นอะไรบางอย่างถูกถ่ายทอดไปยังสายพันธุ์ที่ไม่ต้องการ หรืออาจทำให้ศัตรูพืชดื้อต่อสารเคมีปราบศัตรูพืช อาจทำให้เกิด “สุดยอดแมลง(super bug)” หรือ “สุดยอดวัชพืช(super weed)”ได้
ปัญหาด้านของเศรษฐกิจและสังคม
- ปัญหาในเรื่องอื่น ที่ไม่ใช่เรื่องวิทยาศาสตร์ เช่น การผูกขาดทางสินค้าจีเอ็มโอ(GMOs)ของบริษัทเอกชนที่จดสิทธิบัตรเกี่ยวกับจีเอ็มโอ(GMOs)นั้น ทำให้ในอนาคตอาจเกิดความไม่มั่นคงทางด้านอาหารได้และไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ต่อไป รวมถึง ปัญหาในเวทีการค้าระหว่างประเทศที่กีดกันสินค้าจีเอ็มโอ(GMOs)

"ไทย กับ E-Sport ระดับโลก"
 ถ้าจะให้พูดถึงต้นกำเนิดของวงการ E-Sport ในบ้านเรา ก็คงต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2543 ในปีนั้นมีการจัดแข่งขัน E-Sport รายการแรกของเมืองไทยเกิดขึ้น มาจนถึงวันนี้ก็นับเวลาได้ 12 ปีเต็มๆ ที่ประเทศไทยรู้จักมักคุ้นกับคำว่า E-Sport คำถามคือ ณ วันนี้เราพูดได้เต็มที่แล้วหรือยังว่า E-Sport บ้านเราบูมแล้ว?
อดีตที่ขมขืนของนักกีฬา E-Sport เมืองไทย

          ถึงแม้ว่า E-Sport บ้านเราจะเริ่มเป็นที่รู้จักกันเมื่อ 12 ปีก่อน มีการส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันรายการระดับโลก ในปี 2544 แต่เมื่อเทียบกับต่างประเทศ นักกีฬาบ้านเราก็จัดอยู่ในระดับมือสมัครเล่นเท่านั้น ที่ผ่านมาถึงแม้ว่านักกีฬาจะพยายามผลักดันยังไงก็ยังห่างไกลจากคำว่า “นักกีฬามืออาชีพ” เหมือนอย่างที่ประเทศเกาหลีใต้ประสบความสำเร็จ
          สาเหตุก็เพราะ นักกีฬาบ้านเราขาดการสนับสนุนอย่างจริงจังจากเหล่าสปอนเซอร์ ซึ่งก็ไม่พ้นบริษัท IT ทั้งหลายที่ถูกมองว่าเป็นแหล่งสปอนเซอร์หลัก แต่ที่ผ่านมาสิ่งที่นักกีฬาได้รับการสนับสนุนก็มีเพียงแค่อุปกรณ์ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ซึ่งมันเป็นเหมือนการช่วยเหลือกัน มากกว่าที่จะเรียกได้อย่างเต็มปากว่า “สปอนเซอร์”
          ที่สำคัญรายการแข่งที่จะแสดงฝีมือก็มีน้อยเกินกว่าที่จะต่อรองขอการสนับสนุนที่มากกว่านี้ ดังนั้นนักกีฬ่า E-Sport บ้านเราจึงต้องใช้ “ใจ” เป็นอย่างมาก ในการที่จะเป็น “นักกีฬา E-Sport”
          จึงไม่แปลกเลยที่ท้ายที่สุด แต่ละคน แต่ละทีม จะต้องควักเงินส่วนตัวเพื่อผลักดันตัวเองให้อยู่ในวงการ จนเมื่อมองจากมุมกว้าง นักกีฬา E-Sport บ้านเราจึงมีอยู่แค่หยิบมือเดียวและถูกจำกัดให้อยู่ในระดับแค่มือสมัครเล่น
ตัวแปรที่เข้ามาเปลี่ยนวงการ
          จนเมื่อปี 2551 ได้เกิด Event การแข่งขันหนึ่ง ที่เข้ามาเปลี่ยนมุมมองของเหล่าบริษัท IT ให้ตื่นตัวกับวงการ E-Spot มากขึ้น นั่นก็คือรายการ ESTC 2008 ตัวแปรสำคัญที่ทำให้รายการนี้ได้รับความสนใจ คือการเชิญนักกีฬา E-Sport จากต่างประเทศเข้ามาแข่งขันในประเทศไทย 
          แน่นอนว่าเมื่อประเทศไทยได้มีโอกาศต้อนรับนักกีฬาที่มีฝีมือระดับโลก ทำให้เกิดกระแสการตื่นตัวทั้งนักกีฬ่าและบริษัท IT จนนำมาสู่การเริ่มมีทีมที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ จากเหล่าสปอนเซอร์ที่เล็งเห็นฝีมือและความสำคัญของนักกีฬา E-Sport ของประเทศไทย
          การจัด ESTC 2009 ยิ่งเป็นการตอกย้ำอีกครั้ง ว่าแท้จริงแล้วศักยภาพของนักกีฬาไทย มีความพร้อมที่จะยกระดับเข้าสู่นักกีฬามืออาชีพ และเมื่อมีรายการใหญ่ได้ให้พิสูจน์ฝีมือ เหล่าบริษัท IT จึงพุ่งเป้าสนใจวงการ E-Sport มากขึ้นเป็นเท่าทวี สิ่งทีเกิดขึ้นจึงเป็นเหมือนสัญญาณที่เราทุกคนสามารถรับรู้ได้ว่า ยุคทองของ E-Sport เมืองไทยกำลังจะมาถึงแล้ว 
 สิ่งที่กำลังเป็นอยู่ของวงการ E-Sport เมืองไทย
          คงปฏิเสธไมได้ว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา วงการ E-Sport บ้านเรากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นภาพที่เราอยากให้เกิดขึ้นมานานแล้ว เนื่องจากบริษัท IT หลายราย เริ่มที่จะจริงจังกับการผลักดันวงการนี้มากขึ้น เมื่อนักกีฬาได้รับการสนับสนุนมากขึ้น แน่นอนว่านักกีฬาเองก็ต้องแสดงความเป็นมืออาชีพมากขึ้น รวมไปถึงผลงานทั้งในเวทีระดับประเทศหรือระดับนานาชาติ
          ในเรื่องของฝีมือ นักกีฬ่าไทยพิสูจน์ให้เห็นกันแล้วว่า หากจะวัดกันจริงๆ นักกีฬาไทยก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้ไม่ใช่เรื่องฝัน ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ทำให้เห็นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเกม Ragnarok, GetAmped, Point Blank ส่วนเกมอื่น ในระดับซีเกมส์เราก็ไม่เป็นรองใคร เช่น DotA, SF, StarCraft II แต่ถ้าในระดับเอเชียนเกมส์ก็คงต้องสู้กันต่อไป 
          ยิ่งตอนนี้ทางบริษัท IT ได้รวมตัวกันจัดรายการแข่งขันขึ้นมา เพื่อผลักดันวงการนี้มากขึ้น ยิ่งทำให้นักกีฬาไทยมีเวทีในเพื่อฝึกฝีมือ ยิ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ในอนาคตประเทศไทยอาจมีกองทัพนักกีฬ่า E-Sport มากพอที่จะขอเขย่าบัลลังก์วงการ E-Sport ในระดับโลกก็เป็นได้
          แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ตอนนี้คงขึ้นอยู่กับสิ่งที่นักกีฬา E-Sport เองแล้วละครับ ว่าจะแสดงออกมาให้ทุกคนได้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ ระเบียบวินัยในการฝึกซ้อม น้ำใจนักกีฬา ได้มากน้อยขนาดไหน วงการนี้จะโตขึ้นหรือวูบดับไป นักกีฬาคือคนกำหนดทิศทางทั้งสิ้น
          ทุกสิ่งทุกอย่างมาได้ถูกทาง อย่างที่เราอยากเห็นแล้ว อนาคตเราไม่สามารถบอกได้ว่ามันจะเป็นยังไง แต่สิ่งที่เราทำได้คือ ปัจจุบันเราทำมันยังไงต่างหาก คงไม่มีใครอยากเห็นเหล่าสปอนเซอร์ถอดใจ เพราะนั้นมันจะหมายถึงหายนะของวงการ E-Sport บ้านเราอีกครั้ง 
          ไม่ว่าเราจะมองว่า “E-Sport ผลักดันวงการ IT” หรือ “วงการ IT ผลักดัน E-Sport” เราคงไม่สามารถแยกได้ว่าอย่างไหนมันสำคัญกว่ากัน เพราะท้ายที่สุดทั้ง 2 อย่างจะต้องควบคู่ไปด้วยกัน
          หากจะมองว่าวงการ E-Sport บูมหรือไม่ ผมบอกได้เลยว่า เรากำลังบูมสุดๆ แต่ถึงจุดสูงสุดหรือยัง ตอบได้เลยว่ายังอีกไกล ยังมีงานอีกหลายอย่างที่เราต้องทำเพื่อไปให้ถึงจุดๆ นั้นครับ 
          “ไต้หวันเพิ่งเริ่ม Professional League เมื่อ 2 ปีที่แล้ว มาตอนนี้เขาจะมีทีมเอง เขามีเงินเดือน เขาให้ที่พัก คือเขาจะซ้อมทุกวันเพื่อที่แข่งขันทุกเสาร์-อาทิตย์”
           “ต่อไปเราต้องการให้ทุกคนมองว่า เล่นเกมก็เป็นอาชีพได้ การเล่นเกมสมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ต่อไปเราอยากให้นักกีฬา E-Sport ไทยมีเงินเดือน มีเงินสนับสนุน เพื่อที่จะให้เขามีโอกาสฝึกซ้อมและไปแข่งกับทีมต่างประเทศ”
          “เมื่อก่อนมีแต่การแข่งลีก ไม่มีสปอนเซอร์ พอทีมไม่มีสปอนเซอร์แล้วพอแพ้บ่อยๆ เขาก็หมดกำลังใจไม่อยากแข่งต่อ จะทำให้ลีกพังตลอดเวลา เพราะฉะนั้นในครั้งนี้ที่ทาง Gigabyte ออกไอเดียมา นั่นก็คือให้เพื่อนๆ ในกลุ่ม IT มาช่วยกัน อยู่ข้างหลังคอยซัพพอร์ตอยู่ โดยที่ทุกคนห้ามถอยภายในปีนี้”
          “แต่ว่า GIGABYTE ก็มีการคุยกับบริษัท ไทยอีสปอร์ต จำกัด ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้อาจจะมีการจัดลีกล่าง คือส่งเสริมทีมใหม่ๆ เพื่อเป็นช่องทางให้บริษัทใหม่ๆ ที่กำลังอาจจะสนใจสนับสนุนทีม E-Sports เข้ามาดูและเลือกทีมจากลีกนี้ไปพัฒนาศักยภาพต่อเป็นทีมที่แข็งแกร่งได้”
          “ที่วางแผนไว้จะในปีนี้แน่ๆ ก็จะแข่ง DotA กันทั้งปี 12 เดือนเลย แต่ในช่วงต่อๆ ไปก็จะมีการเพิ่มการแข่งขันให้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่าง Season 1 เรามีแต่การแข่งออนไลน์ ใน Season 2 ทาง GIGABYTE จะมีการแข่งออฟไลน์ที่จะรวมทีมอันดับ 1-4 มาแข่งอีกครั้ง เหตุผลที่ต้องมีการแข่งบ่อยๆ เพื่อที่ทางบริษัท ไทยอีสปอร์ต จำกัด จะได้สามารถหาผู้สนับสนุนรายอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติมเรื่อยๆ จนทำให้การแข่งขันใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ สุดท้ายคนเล่นเกมจะกลายเป็นมืออาชีพ



10 อันดับ Blogger สอนเขียนโปรแกรมและ 10 อันดับ Blogger ที่คิดว่าน่าสนใจ "



1.คอร์ดรวมพื้นฐานการแฮค และ เทคนิคที่ใช้แฮค
:http://kiss-hack.blogspot.com/2014/12/pentesting-hacking-webapplication.html

2.กฏระเบียบในเว็บและเพจ (วงการด้วย)
:http://kiss-hack.blogspot.com/2013/09/blog-post.html

3.PHP เบื้องต้น (คุยกันก่อน)
:http://kiss-hack.blogspot.com/2013/08/php.html

4.อยากเป็น Hacker
:http://kiss-hack.blogspot.com/2013/08/hacker.html

5.มาพูดถึงเรื่องการ ยิงIP ด้วย Flood ต่างๆกัน
:http://kiss-hack.blogspot.com/2013/08/ip-flood.html

6.สอนเขียน Java ขั้นพื้นฐานพร้อมกับ E-BOOK
:http://xn--72c0ahm0b6dtbw6k.blogspot.com/2012/04/java-e-book.html

7.c/c++ robot simulator เรียนรู้การเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์
:http://krumonrobot.blogspot.com/

8.สร้างแบบฟอร์มลงทะเบียน แบบฟรี Form Free Google Drive
:http://kobover.blogspot.com/2014/03/form-free-google-drive.html

9.เขียนโปรแกรมโดยใช้วิชวลเบสิก 2008 (visual basic 2008)
:http://code-visual-basic.blogspot.com/

10.JAVA เบื้องต้น
:http://www.javathailand.com/ajax/app/index.php?r=frontend/viewByGroupVdoId&group_vdo_id=1

10 อันดับ Blogger ที่คิดว่าน่าสนใจ

10 อันดับ บล็อกเกอร์ไทยมาแรง !

10 อันดับ บล็อกเกอร์ไทยมาแรง !

ผู้หญิงจำเป็นจะต้องดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอตั้งแต่หัวจรดเท้า ค้นหาข้อมูลจากเว็บไซด์ต่างๆ ทั้งการแชร์เทคนิคหรือเคล็ดลับต่างๆ จึงทำให้สาวๆหลายคนติดตาม บิ้วตี้ บล็อกเกอร์เพื่ออัพเดทเทรนด์ให้ทันอยู่เสมอ เหมือนกับเป็นการแบ่งปันความรู้ด้านความสวยงาม วันนี้ Sanook!women จะพาสาวๆมาดู บิ้วตี้ บล็อกเกอร์ไทย ที่กำลังมาแรงอยู่ในตอนนี้  เราจะมาจัดอันดับ 10 อันดับ บิ้วตี้ บล็อกเกอร์ ที่มียอดไลค์บนแฟนเพจเยอะมากที่สุดกันค่ะ :)
อันดับ 1Pearypie: Make-up Artist/Theatrical Artist : 473,953 likes เป็นใครไปไม่ได้เลยเพราะสาวแพรรี่พาย นอกจากจะมีฮาวทูการแต่งหน้าออกมาให้สาวๆได้อัพเดทกันอยู่เสมอ ยังมีทั้งแฟชั่นการแต่งกาย ที่บอกเลยว่ามาแรงแซงทางโค้งจริงๆ 
  TOP 10 BEAUTY BLOGGER THAI
อันดับ 2แย้ นนทพร ธีระวัฒนสุข : 387,207 like 
ด้วยความที่เป็นพริตตี้สาวมากความสามารถ จึงทำให้ยอดไลค์ของหญิงแย้ มาเป็นอันดับที่ 2 ทั้งแบ่งปันวิธีการดูแลตัวเอง ตั้งหัวจรดเท้า แถมยังเป็นผู้หญิงที่เป็นตัวของตัวเองสุดๆ ทำให้ใครหลายๆคนยกให้หญิงแย้ เป็นไอดอล
TOP 10 BEAUTY BLOGGER THAI
อันดับ 3Sp Saypan : 336,041 likes เป็นอีกหนึ่งสาวบิ้วตี้ บล็อกเกอร์ที่มาแรงอยู่ในตอนนี้ สายป่าน หรือใครๆหลายคนอาจจะรู้จักในนามของ ป่านศรี ด้วยความน่ารักและความจริงใจในการรีวิวผลิตภัณฑ์และเทคนิคในการดูแลตัวเองต่างๆ ทำให้สาวๆหลายคนเทใจให้สาว บิ้วตี้ บล็อกเกอร์คนนี้
TOP 10 BEAUTY BLOGGER THAI
อันดับ 4Momay Pa Plearn : 275,791 likes โมเม พาเพลิน สาวไทยต่างขนานนามให้เธอว่า " คุณแม่ " ด้านการแต่งหน้าตัวจริง โมเม พาเพลิน ถือว่าเป็นผู้ที่ทำให้สาวๆหลายคนที่คิดจะเริ่มฝึกแต่งหน้า คิดถึงเธอเป็นคนแรก   
 TOP 10 BEAUTY BLOGGER THAI
อันดับ 5FEONALITA : 182,713 likes 
ทราย ฟีโอนาลิต้า บิ้วตี้ บล็อกเกอร์ที่ใครหลายคนคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี สาวร่างเล็กคนดังประจำโต๊ะเครื่องแป้งพันทิป เธอมีทั้งเคล็ดลับการดูแลเสื้อผ้าหน้าผม รวมถึงการรีวิวผลิตภัณฑ์อีกมากมาย
TOP 10 BEAUTY BLOGGER THAI
อันดับ 6Kunginter : 113,099 likes กุ้ง อินเตอร์ เป็นบิ้วตี้ บล็อกเกอร์อีกคนหนึ่งที่มีวิธีการดูแลตัวเองแบ่งปันให้ชาวแฟนเพจเสมอ ทั้งการดูแลผิวหน้า ผิวกาย รีวิวผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย จึงทำให้แฟนเพจส่วนใหญ่มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย 
TOP 10 BEAUTY BLOGGER THAI
อันดับ 7I'm Mayyr - Blog : 78,395 like 
เป็นสาวน้อยน่ารักอีกคนหนึ่ง ที่กลายเป็นที่รู้จักของสาวๆส่วนใหญ่เพราะการแต่งหน้า ทั้งการรีวิวเครื่องสำอางและของใช้คุณภาพดี บวกกับหน้าตาที่น่ารักจิ้มลิ้มทำให้แฟนเพจของคุณเมย์เป็นผู้ชายไม่น้อยเลยทีเดียว
TOP 10 BEAUTY BLOGGER THAI
อันดับ 8Cinnamongal.com : 77,810 likes 
คุณมด บิ้วตี้ บล็อกเกอร์อีกหนึ่งคนที่สาวๆคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี เธอเปิดร้านขนมและยังเป็นที่รู้จักในวงการบิ้วตี้ บล็อกเกอร์ ที่มากความสามารถจริงๆ 
TOP 10 BEAUTY BLOGGER THAI
อันดับ 9OnnBaby : 21,729 likes บล็อกเกอร์สาวสุดชิค กลายเป็นที่รู้จักของสาวๆจากการแบ่งปันเคล็ดลับและเทคนิคดีๆในการดูแลตัวเอง และยังเปิดตัวแบรนด์เครื่องสำอางที่แพคเกจแสนจะน่ารักกุ๊กกิ๊ก 
TOP 10 BEAUTY BLOGGER THAI
อันดับ 10
Jelly Fish Makeup Mania : 19,022 likes
 ปิดท้ายด้วยสาวสวยคนนี้ คุณจูน ที่มีทั้งฮาวทูการแต่งหน้าและยังแบ่งปันเทคนิคในการทำทรงผมต่างๆมากมาย สาวๆหลายคนจึงไม่รีรอที่จะกดติดตามเธอเพื่ออัพเดททริคในการดูแลตัวเองอย่างรอบด้าน
TOP 10 BEAUTY BLOGGER THAI

แหล่งที่มา : http://women.sanook.com/21100/